เคยสังเกตไหมว่าบนน็อต บนสกรูนั้นมักจะมีตัวเลขกำกับอยู่ แน่นอนว่าคนทั่วไปคงจะมองผ่านไป เพราะมันไม่จำเป็นจะต้องรู้ก็ได้ แต่สำหรับคนที่เป็นช่าง คนที่ทำงานเกี่ยวกับอะไรที่จะต้องมีการใช้น็อตเหล่านั้น ตัวเลขบนหัวน็อตนั้นสำคัญเหมือนกัน จะช่วยให้เข้าใจและเลือกใช้งานน็อตได้ถูกประเภท หรือถ้าได้ยินคำว่าเกรดของน็อตก็ให้เข้าใจไว้เลยว่ามันหมายถึงตัวเลขบนหัวน็อตนี่เอง สำหรับหน่วยกำกับตัวเลขนั้นจะเป็นมิล (Metric) หรือบางตัวก็หน่วยเป็นนิ้ว (Imperial) บทความนี้ชวนทุกคนมาทำความเข้าใจกับตัวเลขเหล่านี้กันว่าหมายถึงอะไร มีประโยชน์อย่างไร มาติดตามพร้อมกันได้เลย
ทำความเข้าใจกับตัวเลขบนหัวน็อตหมายถึงอะไร
บนหัวของน็อตนั้นจะเห็นเป็นตัวเลข ให้คุณลองสังเกตดูว่าเป็นเลขอะไร อาจจะเป็น 4.8, 8.8, 10.9 และ 12.9 แน่นอนว่ามันไม่ใช่เลขที่ใครจะมานั่งเทียนกำหนดขึ้นมาเป็นอะไรก็ได้ มันมีเหตุผลและความหมายในตัวเองทุกตัวเลขเลย สำหรับการอ่านคือตัวเลขที่อยู่ด้านหน้าของจุด (.) จะบอกถึงค่าแรงดึง (Tensile Strength) ส่วนหลักต่อไปก็หลังจุด จะบอกถึงค่าความแข็งแรง ณ จุดคราก (Yield Strenth) ยกตัวอย่าง 4.8 เลขหน้าจุดก็คือ 4 เลขหลังจุดก็คือ 8 นั่นเอง ตัวเลขบนหัวน็อตทำให้รู้ถึงเกรดของน็อตหรือสกรูตัวดังกล่าวได้
อย่างที่เห็นว่าค่าแรงดึงคือ 4 ความหมายคือน็อตตัวนั้นก็จะรับได้สูงสุดแค่ไหนก็เอาเลข 4 ไป คูณกับ 100 ตัวเลขออกมาเท่าไหร่นั่นคือค่าแรงที่น็อตนั้น ๆ รับแรงดึงได้ ส่วนหน่วยจะเป็นแบบไหนก็อยู่ที่มาตรฐานที่เลือกใช้ ซึ่งตามสูตรที่เราจะคำนวนตามตัวเลขบนหัวน็อตหาค่าแรงดึงที่รับได้จะออกมาเป็น 4 x 100 = 400 Mpa / N / mm2 นั่นเอง 400 นี้เรียกว่าค่า Tensile Strength
ต่อมาก็ถึงคราวของตัวเลขบนหัวน็อตที่อยู่หลังจุด ใน ตัวอย่างนี้ก็คือเลข 8 เป็นค่าความแข็งแรง ณ จุดคราก เป็นภาษาที่ค่อนข้างแปลกเหมือนกันสำหรับคนทั่วไปแต่ก็เรียกแบบนั้นจริง ๆ ถ้าจะให้เข้าใจคือเป็นจุดที่น็อตตัวนั้นรับแรงดึงแล้วคืนกลับมาได้แบบเดิมได้ วิธีในการหาเราก็เอาค่า Tensile Strength ในตัวอย่างนี้คือ 400 เราก็เอามาคำนวนตามนี้เลย Yield Strength = 400 x 0.8 = 320 Mpa /N/mm นั่นเอง สรุปคือน็อตตัวนี้เกรด 4.8 มีค่าตามนี้
Tensile Strength = 400 N/mm2
Yield Strength = 320 N/mm2
หากเป็นน็อตเกรดอื่น ๆ หรือมี ตัวเลขบนหัวน็อต เป็นเลขอื่นก็ใช้หลักในการหาค่าสูตรเดียวกันตามที่ยกตัวอย่างเลย เท่านี้เราก็ได้รู้ค่าของตัวเลขแล้ว และรู้ว่าน็อตหรือสกรูตัวดังกล่าวนั้นรับแรงดึงได้แค่ไหน พอกลับมาแบบไม่เปลี่ยนรูปอยู่ที่เท่าไหร่ ก็ไม่ถึงขั้นยากนะลองคำนวณเองลองดู
ตัวเลขบนหัวน็อตบอกถึงเกรดความแข็งแรง
อย่างที่กล่าวไปแล้วก่อนนี้ว่าตัวเลขบนหัวน็อตบ่งบอกถึงความแข็งแรง หรือ เกรดน็อต ตัวเลขมีความหลากหลายตามเกรด มาดูกันว่ามีอะไรบ้างดังนี้
- น็อตผลิตจากเหล็กคาร์บอนต่ำ เกรดความแข็งหรือตัวเลขบนหัวน็อตจะเป็น 6, 4.8, และ 5.8 ก็จะเป็นเหล็กเกรด 1006, 1010,1016,1018,1022 และ 1035 เมื่อเห็นค่าเหล็กเป็นเลขเหล่านี้ก็ทำให้รู้เลยว่าเป็นเหล็กคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Steel) ส่วนผสมของคาร์บอนนั้นจะน้อยกว่า 0.25% จะเป็นเหล็กที่เอามาขึ้นรูปง่าย มีความทน เชื่อมได้ดี และยังราคาไม่แรงอีกด้วย ค่า Tensile Strength จะอยู่ที่ 410 Mpa – 550 Mpa นั่นเอง
- น็อตที่มาจากเหล็กคาร์บอนปานกลาง สำหรับตัวเลขบนหัวน็อตจะเป็น 8 ถ้าเห็นเลขนี้ก็จะรู้เลยว่าเป็นเกรดไหน ซึ่งมาจากเหล็กเกรด 1038, 1541, 5132 และ 5135 นั่นเอง เกรดปานกลางนี้จะเรียกว่า Medium Carbon Steel ส่วนผสมของคาร์บอนนั้นอยู่ที่ 0.25% – 0.60% เป็นเหล็กที่เอาไปผ่านการชุบแข็งได้ มีค่า Tensile Strength 690 MPa – 830 Mpa นั่นเอง สำหรับสูตรการหาค่านั้นก็อธิบายไว้แล้วในหัวข้อก่อนหน้านี้
- น็อตที่มาจากเหล็กอัลลอย เกรดความแข็งก็จะสูงหน่อย ตัวเลขบนหัวน็อตก็จะเป็น 9 และ 12.9 เกรดนี้จะใช้เป็นเหล็กกล้าผสม หรือเหล็กอัลลอย ซึ่งในนั้นจะมีส่วนผสมของโครเมี่ยม ซีลีคอน แมกกานีส โบรอน รวมถึงธาตุอื่น ๆ อีกเพียบ ตัวนี้เป็นเหล็กที่แข็ง แต่ก็ขึ้นรูปได้ แถมยังมีความเหนียวในตัวด้วย และยังทนต่ออุณหภูมิสูง ๆ อีกด้วย ในส่วนของค่า Tensile Strength ก็จะเป็น 1034 Mpa นั่นเอง
เป็นการอธิบายถึงตัวเลขบนหัวน็อตให้เข้าใจแบบง่าย ๆ ใครที่เคยสับสนอ่านจบจะกระจ่างได้เลย แล้วคราวนี้จะหยิบน็อต หยิบสกรูตัวไหนขึ้นมาแล้วเจอตัวเลขอยู่ก็จะเข้าใจเลยว่าเป็นน็อตที่มาจากเหล็กแบบไหน ตามที่กล่าวมาเลย อาจจะมาจากเหล็กคาร์บอนต่ำ เหล็กที่มาคาร์บอนปานกลาง หรือ มาจากเหล็กกล้า
ตัวอักษรภาษาอังกฤษบนหัวน็อตคืออะไร
นอกจากตัวเลขบนหัวน็อตแล้วน็อตสกรูบางตัวยังมีอักษรภาษาอังกฤษด้วย ซึ่งก็มีความหมายเหมือนกัน แต่ว่าอาจจะไม่ค่อยมีอะไรบอกตายตัวเพราะว่าตัวอักษรนั้นอาจจะเป็นสัญลักษณ์ที่บอกถึงตรา ยี่ห้อของผู้ผลิต ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ว่าตัวเลขนั้นจำเป็นจะต้องมี เวลาจะอ่านค่าก็ดูแค่ตัวเลขบนหัวน็อตก็พอ ไม่ต้องสนใจตัวอักษรหรือสัญลักษณ์อย่างอื่นก็ได้
การอ่านตัวเลขบนหัวน็อตมีประโยชน์อย่างไร
เมื่อเราเห็นค่าตัวเลขบนหัวน็อตเราจะรู้ว่าน็อตตัวนั้น สกรูตัวนั้นเกรดไหน เพื่อจะได้เลือกซื้อ เลือกหยิบมาใช้งานได้ถูกและเหมาะกับงานที่ทำจริง ๆ อย่างถ้าเป็นเกรด 8.8 ก็จะเหมาะกับงานไม้ งานเครื่องจักรตัวที่ไม่ต้องรับแรงมากก็ได้ รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ หากเป็นเกรดที่ตัวเลขเยอะขึ้นมาหน่อยอย่าง 10.9 ก็จะเหมาะกับงานเครื่องจักร ตัวเลขบนหัวน็อตระดับนี้เป็นความแข็งแรงแบบปานกลาง ต่อไปถ้าเป็นระดับของงานหนัก ๆ จะใช้เป็นเกรด 12.9 ซึ่งจะเป็นงานก่อสร้าง งานยานยนต์ งานซ่อมบำรุงต่าง ๆ เป็นต้น
เลือกใช้น็อตที่มีตัวเลขบนหัวน็อตเท่าไหร่ดี
อย่างที่กล่าวมาเลยว่าน็อตแต่ละตัว สกรูแต่ละตัวนั้นมันจะมี ตัวเลขบนหัวน็อตบอกเอาไว้ชัดเจนเลยว่าเป็นเกรดไหน ขั้นตอนต่อไปก็หน้าที่คุณแล้วที่จะเข้าใจตัวเลขนั้นอย่างที่บอกไปเลย พอเราเข้าใจตัวเลขจะช่วยให้เลือกได้ว่าน็อตเกรดไหนที่เหมาะกับการใช้งานของตนเอง ถ้าจะให้พิจารณาแบบง่ายสุดก็ดูสิ่งเหล่านี้
- งานที่คุณทำเป็นแบบไหน เป็นงานอะไร ลองคำนวณน้ำหนัก การรับแรงเฉือนร่วมด้วยจะทำให้เลือกน็อตหรือสกรูได้
- ลองดูสภาพแวดล้อม การสึกหรอ การโดนกัดกร่อน และอื่น ๆ ร่วมด้วย แล้วค่อยมองที่ค่าตัวเลขบนหัวน็อต ว่าแบบไหนเหมาะและทนต่อสภาพแวดล้อมนั้น ๆ
- หากไม่มั่นใจจริง ๆ พิจารณาเองยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ก็ลองปรึกษาคนที่เก่งด้านนี้ งานช่าง งานซ่อมอะไรที่มันเกี่ยวกับงานของคุณ เอาคำแนะนำจากคนเก่ง ๆ ไปช่วยเลือกก็ได้
- ประสบการณ์จะสอนคุณได้ดีที่สุด แต่การหาความรู้มาก่อนที่จะใช้งานจริงก็เป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อลดความผิดพลาดที่อาจจะเกิดได้ อ่านค่าตัวเลขบนหัวน็อตเป็นแล้ว เลือกใช้งานให้ตรงประเภทให้ได้ ทำบ่อยครั้งจะกลายเป็นมืออาชีพเอง
ยี่ห้อของน็อตหรือสกรูนั้นก็ตามสะดวกเลย ราคาเองก็อาจจะแตกต่างกันไปตามเกรดด้วย อาจจะเป็นปัจจัยอื่นที่ทำให้ราคาต่างเช่น คุณภาพ ประสิทธิภาพ ขนาด ความนิยม ฯลฯ ล้วนเกี่ยวข้องกัน ฉะนั้นแล้วการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและเลือกตัวที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง ๆ มาใช้งานย่อมดีกว่าราคาที่ถูกหรือแพง
บทสรุป
เป็นอย่างไรบ้างสำหรับการเรียนรู้เรื่องของตัวเลขบนหัวน็อตและสกรู มันอาจจะไม่ได้ละเอียดยิบจนน่าปวดหัว ไม่เหมือนกับในตำราเรียน แต่อ่านแล้วเข้าใจแน่นอนว่าเลขแต่ละตัวหมายถึงอะไร ตัวเลขหน้าจุด หลังจุด บอกถึงค่าที่ต่างกัน และยังบอกถึงเกรดของน็อตตัวนั้น ๆ ว่าเหมาะกับงานประเภทไหนด้วย ถ้าคุณเข้าใจได้ดีแล้ว มันก็ไม่ยากเลยที่จะทำให้คุณเลือกน็อตมาใช้งานได้ตรงโจทย์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขบนหัวน็อตว่ามาจากเหล็กที่มีคาร์บอนต่ำ ปานกลาง หรือมากแค่ไหน แต่ละแบบต่างมีกลุ่มงานที่เหมาะจะใช้กับตนเหมือนกัน บางตัวเหมาะกับงานไม้ บางตัวเหมาะกับงานหนัก ๆ มันไม่ได้แปลว่าค่าตัวเลขน้อยแล้วจะด้อยประสิทธิภาพ แต่ค่าตัวเลขนั้น ๆ จะทำให้คุณเลือกน็อตไปใช้งานได้ถูกกับงานนั่นเอง✪ล้อรถเข็นUSA™